วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

แบบฝึกหัด
บทที่ 1 (กิจกรรม1)                                                                         กลุ่มที่เรียน 2
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026 008
ชื่อ นางสาวจุฑารัตน์ นามสกุลอยู่เจริญ     รหัส57010918599

จงเติมในช่องว่างว่าข้อใดเป็นข้อมูล หรือสารสนเทศ

1.ข้อมูลหมายถึง ข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เช่น คน สถานที่ สิ่งของต่างๆ ซึ่งมีการ
เก็บรวบรวมเอาไว้และสามารถเรียกมาใช้ประโยชน์ได้ในภายหลังข้อมูลจึงจำเป็นต้องเป็นข้อมูลที่ดีมีความถูกต้องแม่นยำ
2.ข้อมูลปฐมภูมิคือ สารสนเทศที่ได้มาจากต้นแหล่งโดยตรงเป็นสารสนเทศทางวิชาการผลของการศึกษาค้นคว้าวิจัยรายงานการค้นพบทฤษฎีใหม่ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
ยกตัวอย่างประกอบ เช่น วารสาร รายงานการวิจัย รายงานการประชุมมและสัมมนาวิชาการ สิทธิบัตร เอกสารมาตรฐานต่าง ๆ ต้นฉบับตัวเขียน จดหมายเหตุ วิทยานิพนธ์
3.ข้อมูลทุติยภูมิคือ สารสนเทศที่มีการรวบรวมเรียบเรียงขึ้นใหม่จากแหล่งสารสนเทศปฐมภูมิมักจะอยู่ในรูปแบบการสรุป ย่อเรื่อง จัดหมวดหมู่ ทำดรรชนีและสาระสังเขปเพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงและสามารถใช้ข้อมูลได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
ยกตัวอย่างประกอบ เช่น สื่ออ้างอิงประเภทต่าง ๆ วารสารที่มีการสรุปย่อและตีความ รวมถึงหนังสือ ตำรา ที่รวบรวมเนื้อหาวิชาการในการเรียนการสอน สารานุกรม พจนานุกรม รายงานสถิติต่าง ๆ ดรรชนีและสาระสังเขป
4.สารสนเทศหมายถึง ข้อมูล ข่าวสาร ที่ได้มีการจัดการไม่ว่าจะเป็นการคิดคำนวณ ประมวลผลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ ได้มีการคัดเลือกสรรและนำไปใช้ให้ทันต่อความต้องการในการใช้งาน และทันเวลา
5.จงอธิบายประเภทของสารสนเทศ การจำแนกประเภทของสารสนเทศได้มีการจำแนกออกเป็นตามแหล่งสารสนเทศและตามสื่อที่จัดเก็บ 
6.ข้อเท็จจริงของสิ่งต่างๆที่อาจเป็นตัวเลขข้อความรูปภาพเสียงคือ ข้อมูล

7.ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลเป็น สารสนเทศ

8.ส่วนสูงของเพื่อนที่ถามจากเพื่อนแต่ละคนเป็น แหล่งปฐมภูมิ

9.ผลของการลงทะเบียนเป็น แหล่งทุติยภูมิ

10.กราฟแสดงจำนวนนิสิตในห้องเรียนวิชาวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวันSectionวันอังคารเป็น แหล่งตติยภูมิ

แบบฝึกหัด
บทที่ 2 บทบาทสารสนเทศกับสังคม                                                       กลุ่มที่เรียน 2
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026 008
ชื่อ นางสาวจุฑารัตน์ นามสกุลอยู่เจริญ     รหัส57010918599

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. ให้นิสิตหารายชื่อเว็บไซต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บริการต่าง ๆ ตามหัวข้อเหล่านี้มาอย่างละ 3 รายการ
1.1  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา
       - http://forum.datatan.net/index.php?topic=126.0
       - https://sites.google.com/site/krunoptec
       - http://kobsuthee.wordpress.com/

1.2  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน
       - http://it16msu2.blogspot.com/2013/08/blog-post_2.html
       - http://www.thaigoodview.com/node/91221
       - http://www.weloveshopping.com/

1.3  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมลชน
       http://it16msu2.blogspot.com/2013/08/blog-post_4097.html
       - http://www.thaitv3.com
       - http://www.siit/tu.ac.th/thai/it.html

1.4  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
       http://www.industry.go.th/industry/
       - http://www.prachyanun.com/artic
       - http://www.ats.or.th/index.php

1.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์
       http://medicaltechnology22.blogspot.com/
       - http://lollipop0u0.blogspot.com/
       - https://sites.google.com/site/krunoptechno/kar-prayukt/kar-prayukt-dan-kar-phaethy

1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ
       - www.dsi.go.th./n/tawee_sodsong.html
       - http://bpp424.org
       - http://pedept.rta.mi.th

1.7  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
       http://www.engineerthailand.com/
       - http://www.coe.or.th/e_engineers/coeindex.php
       - http://www.9engineer.com/

1.8  การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม
       http://www.doae.go.th/
       - http://forum.datatan.net/index.php/topic,126.msg126.html
       - http://www.kmitl.ac.th/agritech/nutthakorn/04093009_2204/isweb/
Lesson%208.htm


1.9 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่าง ๆ
       http://www.baanphrapradaeng.com/th/
       - http://www.tddf.or.th/
       - http://www.braille-cet.in.th/Braille-new/

2. มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง บอกมาอย่างน้อย 3 อย่าง
         - อินเตอร์เน็ต
         - คอมพิวเตอร์
         - ห้องสมุดเทคโนโลยี
3. ข้อ 2 จงวิเคราะห์ว่าท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองอย่างไรบ้าง
         - การศึกษาหาข้อมูล
         - การสืบค้นหาข้อมูลต่างๆ
         - นำมาการให้ความบันเทิง




แบบฝึกหัด
บทที่ 3 การรู้สารสนเทศ                                                     กลุ่มที่เรียน 2
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026 008
ชื่อ นางสาวจุฑารัตน์ นามสกุลอยู่เจริญ     รหัส57010918599


คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ
ก. ความสามารถในการกลั่นกลอง และประเมินค่าสารสนเทศที่หามาได้
ข. ความสามารถในการตัดสินใจใช้สารสนเทศรูปแบบต่างๆ
ค. ความสามารถของบุคคลในการสืบค้นและพัฒนาสารสนเทศ
ง. ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิน และใช้งานสารสนเทศ
2. จากกระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด
ก. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
ข. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
ค. ความสามารถในการประมวลผลสารสนเทศ
ง. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
ก. สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
ข. สามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต
ค. ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
ง. ใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาสารสนเทศได้
4.ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
     ก. โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น
     ข. ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
     ค. สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
     ง. ช่วยบุคคลเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง
1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ
2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ
3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
 ก. 1-2-3-4-5                 ข. 2-4-5-3-1              ค. 5-4-1-2-3              ง. 4-3-5-1-2

     ข้อ 1. ตอบ ง. ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิน และใช้งานสารสนเทศ
ข้อ 2. ตอบ ก. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ
ข้อ 3. ตอบ ค. ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
ข้อ 4. ตอบ ค. สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
ข้อ 5. ตอบ ค. 5-4-1-2-3 






แบบฝึกหัด
บทที่ 4 เทคโนโลยีสารสนเทศ                                                     กลุ่มที่เรียน 2
รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                  รหัสวิชา 0026 008
ชื่อ นางสาวจุฑารัตน์ นามสกุลอยู่เจริญ     รหัส57010918599

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1.ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล 
    - ฮาร์ดดิสท์
    - USB ไดร์ฟ
    - แผ่นซีดี
            
2) การแสดงผล
    - เครื่องพิมพ์
    - จอภาพ คอมพิวเตอร์
    - จอโปรเจ็กเตอร์
3) การประมวลผล    
    - ซอฟต์แวร์
    - ฮารด์แวร์
    - OS
                          
4) การสื่อสารและเครือข่าย
- คอมพิวเตอร์
- อินเตอร์เน็ต
- การประชุมผ่านทางจอภาพ

2.       ให้นิสิตนำตัวเลขในช่องขวา มาเติมหน้าข้อความในช่องซ้ายที่มีความที่สัมพันธ์กัน
 8.ซอฟต์แวร์ประยุกต์
1. ส่วนใหญ่ใช้ทำหน้าที่คำนวณ ประมวลผลข้อมูล
 3.Information Technology
2. e-Revenue
 1.คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูล
3. เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการเกี่ยวกับสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความถูกต้องแม่นยำ และความรวดเร็วต่อการนำไปใช้
  6.เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบด้วย
4.มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน ได้แก่ Sender Medium และDecoder
  10.ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการททำงาน
5. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการรับ-ส่งเอกสารจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งโดยส่งผ่านเครือข่าย

   7.ซอฟต์แวร์ระบบ
6. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
   9.การนำเสนอบทเรียนในรูปมัลติมีเดีย ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ตามระดับความสามารถ
7. โปรแกรมที่ทำหน้าที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในระบบคอมพิวเตอร์
   5.EDI
8. โปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ จัดเป็นซอฟต์แวร์ประเภท
   4.การสื่อสารโทรคมนาคม
9. CAI
   2.บริการชำระภาษีออนไลน์
10. ลักษณะสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ

คัพเค้ก (Cupcake)

>>>ที่มาของ Cupcake            

 ปัจจุบัน Cupcake เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก เพราะตกแต่งสวยงามน่าทาน แต่จริงๆแล้ว                  คัพเค้ก (Cupcake) เริ่มมาจากที่ไหนเพราะอะไรถึงเรียกอย่างนี้ งั้นเรามาทำความรู้จักกับคัพเค้กกันเลยดีกว่า......จร้าาาาา 

คัพเค้ก ( Cupcake ) เริ่มแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ราวช่วงต้นศตวรรษที่ 19 คิดขึ้นมาเพื่อต้องการประหยัดเวลาในการทำจีงได้คิดทำเค้กเป็นถ้วยๆขึ้นมา ซึ่งจริงๆต้นกำเนิดแล้วคำว่า Cupcake นั้น นักประวัติศาสตร์ด้านอาหารคิดว่าน่าจะมาจาก 2 ทฤษฏี คือ
  • มาจากการทำเค้กในถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)
  • มาจากเวลาทำเค้กชนิดนี้ มาตราส่วนในการตวงใช้ เป็นถ้วย จึงเรียกว่า คัพเค้ก (Cupcake)
จริงๆแล้ว เริ่มแรกของเค้กชนิดนี้ เดิมเรียกว่า “ Number Cake , 1234 cakes , quarter cakes ” เพราะว่ามันง่ายในการจำสูตรในการทำ เนย 1 ถ้วย , น้ำตาล 2 ถ้วย , แป้ง 3 ถ้วย , ไข่ไก่ 4 ฟอง , นม 1 ถ้วย ,ผงฟู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกันอบเสร็จก็กลายเป็น Cupcake แต่ในปัจจุบันมีการพัฒนา Cupcake โดยส่วนผสม,รูปร่าง,การตกแต่ง ที่หลากหลาย จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
คัพเค้ก (Cupcake) ทำง่าย สะดวกรวดเร็วกว่า การทำเค้กทั่วไปที่มีขนาดใหญ่ หลังจากอบเสร็จมีการตั้งเอาไว้ให้หายร้อนในเตาอบ ทำให้เค้กไหม้ มัฟฟินทิน (Muffin tin) จึงได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 20 ถือเป็นช่วงในการเริ่มต้นทำ Cupcake ในถ้วยอลูมิเนียม , ถ้วยกระดาษสีสวยๆที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทำให้ คัพเค้ก ( Cupcake) ได้รับความนิยมอย่างมากมายในปัจจุบัน มีร้านขาย Cupcake เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว คัพเค้กยอดนิยม ก็ยังคงเป็นรสวานิลา (Vanilla)) และช็อคโกแล็ต ( Chocolate ) ส่วนรสอื่นๆ ก็มี ราสเบอรรี่ เมอแรง (raspberry meringue) ,เอสเพลสโซ่ ฟรัดจ์ (Espresso fudge)

เรามารู้จัก คัพเค้ก (Cupcake) กันแล้วงั้นเรามาเริ่มต้นทำคัพเค้กกันเลยดีกว่า

ราสเบอร์รี่ พีแคน ครีมชีส คัพเค้ก (Raspberry Pecan Cream cheese Cupcake)

ส่วนผสมคัพเค้ก
แป้งอเนกประสงค์ 15 1/2 ออนซ์
เบคกิ้งโซดา 1 1/4 ช้อนชา
เกลือ 1 1/4 ช้อนชา
ผงโกโก้แบบชนิดไม่หวาน (unsweetned cocoa powder) 1 1/4 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 1/2 ถ้วยตวง
น้ำตาล 13 ออนซ์
บัตเตอร์มิลค์ 1 1/4 ถ้วยตวง
ไข่ไก่ 3 ฟอง
สีผสมอาหารสีแดง 2 ช้อนโต๊ะ กับ 2 ช้อนชา
น้ำส้มสายชู (แบบขาวหรือแอปเปิ้ลไซเดอร์ ก็ได้) 1 1/4 ช้อนชา
กลิ่นวานิลลา 1 1/4 ช้อนชา
น้ำ 1/8 ถ้วยตวง

ส่วนผสมหน้าครีมชีส
ครีมชีส 1 1/2 ปอนด์ ทิ้งไว้อุณหภูมิห้อง
เนยจืด 1 ปอนด์ ทิ้งไว้อุณหภูมิห้อง
น้ำตาลทรายป่นละเอียด 2 ปอนด์
กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนโต๊ะ

ส่วนแต่งหน้า
ถั่วพีแคนสับหยาบ และ ราสเบอรี่หรือสตรอเบอร์รี่ ไว้แต่งหน้า

วิธีทำคัพเค้ก
1.อุ่นเตาที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เตรียมพิมพ์กระดาษวางไว้ในถาดอบมัฟฟิน
2.ผสม แป้ง,ผงฟู,เกลือ ให้เข้ากัน แล้วพักไว้
3.ตีเนยด้วยเครื่องผสมอาหาร ใช้ความเร็ว medium ตีจนฟู ค่อยๆเติมน้ำตาลลงไปช้าๆ ตีจนฟู ด้าน ใช้เวลาประมาณ 3 นาที ค่อยๆใส่ไข่ไก่ทีละฟอง ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน
4.ลดความเร็วเป็นระดับ low แล้วเติมส่วนผสมแป้ง สลับกับนม ให้เริ่มด้วยเทแป้งแล้วจนด้วยแป้ง ผสมราสเบอร์รี่ที่เตรียวไว้ลงไป แล้วหยดสีผสมอาหารเล็กน้อย
5.ใส่ส่วนผสมคัพเค้ก ลงในถ้วยกระดาษประมาณ 3/4 ของถ้วย แล้วอบประมาณ 20 นาที จากนั้นให้ทิ้งให้เย็นในตะแกรง พักไว้ประมาณ 15 นาที แล้วตกแต่งด้วย บัตเตอร์ครีมสีชมพู และช็อคโกแล็ตรูปหัวใจ

วิธีทำ บัตเตอร์ครีมสำหรับแต่งหน้า (Pink ฺButter Cream)
ส่วนผสมสามารถเตรียมได้ 5 ถ้วยตวง
1.ตีน้ำตาล,ไข่ขาว,เกลือ เข้าด้วยกัน โดยนำไปอังกับไอน้ำ จนน้ำตาลละลาย จนมีลักษณะคล้ายน้ำเชื่อม
2.ตีส่วนผสมด้วยความเร็ว กลาง 5 นาที แล้วเพิ่มความเร็วเป็น กลางค่อนข้างสูง ตีจนเข้ากัน มีลักษณะมันแววใช้เวลาประมาณ 6 นาที
3.ลดความเร็วเป็นระดับกลาง แล้วใส่เนย ผสมให้เข้ากันแล้วใส่สีผสมอาหาร

วิธีทำช็อคโกแล็ตตกแต่งรูปหัวใจ
- ละลาย ช็อคโกแล๊ต แบบ semi-sweet 120 กรัม โดยใช้หม้อตุ๋นหรือใช้วิธี double boiling จนละลาย ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วเทใส่ถุงบีบ
- บีบตามลายที่ได้วาดแบบเอาไว้ ทิ้งให้เย็น ในช่องแช่เย็นราว 15 นาที แล้วใช้ไม้พายแกะออก แล้วนำไปตกแต่งคัพเค้ก

ลิตเติ้ลสวีทคัพเค้ก (Little Sweet Cupcake)



อุปกรณ์
1. เครื่องผสม (Mixer Stand)
2. ไม้พายยาง
3. ช้อนตวง
4. ถุงบีบ
5. หัวบีบ cake
6. ถ้วย cupcake
7. ถาดเข้าเตาอบ

ส่วนผสมลิตเติ้ลสวีทคัพเค้ก Little Sweet Cupcake 

สำหรับ 20 ชิ้น

• เนื้อเค้ก

1. แป้งเค้ก 300 กรัม
2. ผงฟู 1 ชต.
3. เนย 200 กรัม
4. น้ำตาล 300 กรัม
5. ไข่ไก่ 3 ฟอง
6. ไข่แดง 2 ฟอง
7. วนิลา 1 ชช.
8. โยเกิร์ต 10 กรัม
9. นมสด 170 กรัม
10. สีฟ้า (ปริมาณตามต้องการ)
11. สีเขียว (ปริมาณตามต้องการ)
12. สีเหลือง (ปริมาณตามต้องการ)
13. สีชมพู (ปริมาณตามต้องการ)
14. แยมบลูเบอร์รี่ 20 กรัม
15. แยมมะนาวและเลม่อน 20 กรัม
16. แยมแพชั่นฟรุ๊ต 20 กรัม
17. แยมสตรอเบอร์รี่ 20 กรัม

• Topping Icing

1. เนย 500 กรัม
2. ไอซิ่ง 100 กรัม
3. แยมผลไม้รวม 80 กรัม
4. เยลลี่ ช็อคโกแลต ตามใจชอบ

วิธีทำลิตเติ้ลสวีทคัพเค้ก Little Sweet Cupcake 

1. อุ่นเตา อุณหภูมิ 160-175 องศา
2. ตีเนยและน้ำตาลจนขึ้นฟูขาว ประมาณ 5 นาที (เนยอุณหภูมิห้อง)
3. ไข่ไก่ และไข่แดง ผสมให้เข้ากัน ใส่วนิลา โยเกิร์ต นมสด คนให้เข้ากัน เทใส่ในเนยที่ตีขึ้นฟูแล้ว
4. ใช้สปีดต่ำจนเข้ากันดี
5. ร่อนแป้งและผงฟูรวมกัน
6. ใส่เบาๆและเปิดสปีดต่ำ (แป้งจะได้ไม่ฟุ้ง)
7. ผสมจนเข้ากันดี
8. แบ่งเป็น 4 ชามเท่าๆกัน
9. แต่ละชามใส่แยมคนละชนิด
10. เพิ่มสีตามใจชอบ
11. ตักใส่ถุงบีบชามละถุง
12. บีบสีละชั้น รวมทั้งหมด ½ ถ้วย (เค้กเนื้อนี้ฟูมาก ใส่เกิน ½ ถ้วยเดี๋ยวจะล้นถ้วย)
13. นำเข้าอบ 25 นาที
14. เริ่มทำ Topping Icing
15. ตีเนยและไอซิ่งจนขึ้นฟู
16. ใส่แยมผลไม้รวม ผสมจนเข้ากัน
17. ตักใส่ถุงบีบ
18. หลังจากพัก cupcake ที่อบสุกให้เย็นแล้ว แต่งหน้าด้วย topping icing
19. แต่งหน้าด้วยเยลลี่ หรือเกล็ดน้ำตาล ตามใจชอบ



ทายนิสัยจากเค้กที่ชอบ
คนที่ชอบคัพเค้กรสสตรอเบอรี่ : เป็นคนขี้งอน ชอบแอ๊บ เอาแต่ใจตนเอง แต่ถ้าสนใจเรื่องใดก็จะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
คนที่ชอบคัพเค้กรสช็อคโกแลต : รักสนุก รักเพื่อน ติดความสบาย หยิ่งนิดๆ
คนที่ชอบคัพเค้กรสชาเขียว : เงียบขรึม ไร้ความรู้สึก ไม่ค่อยมีเพื่อน ใจเย็นมากๆจนน่ากลัว
คนที่ชอบคัพเค้กรสวนิลา : สดใส ร่าเริง บุคลิกดี เพื่อนเยอะ ประหยัด และเทคแคร์เก่ง
คนที่ชอบคัพเค้กรสบานอฟฟี่ : เข้มแข็ง เข้ากับคนอื่นได้ดี เครียดง่าย ขี้เหงา โกรธง่ายมากๆ รักความสบาย ไม่แคร์สื่อ และที่สำคัญ ฟุ่มเฟือยเป็นอย่างมากๆๆๆๆ


















อ้างอิง
จากเว๊ปไซต์
http://www.foodietaste.com/mustknow_detail.asp?id=149
http://testpattaree18.wordpress.com/2014/03/03/
http://www.iltelaiodipenelope.it/natale/gif/divers.php

มวยไทย

มวยไทย 


 มวยไทยเริ่มขึ้นในสมัยใดไม่มีเอกสารหรือหนังสือเล่มใดระบุไว้ แต่เท่าที่ได้ปรากฏมวยไทยเกิดขึ้นมานานแล้ว และอาจเกิดขึ้นมานานพร้อม ๆ กับชาติไทยด้วยซ้ำ เพราะมวยไทยนั้นเป็นศิลปะประจำชาติและเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทย ตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบันมวยไทยสมัยก่อนมีการฝึกฝนอยู่ในบรรดาหมู่ทหาร การรบกับประเทศเพื่อนบ้านสมัยนั้นยังไม่มีปืนเป็นอาวุธ มีแต่ดาบ พลอง ง้าว ดั้ง เขน การรบในสมัยนั้นจึงเป็นการรบที่ประชิดตัวด้วยอาวุธในมือ คนไทยจึงได้ฝึกหัดการเตะถีบคู่ต่อสู้ เพื่อให้เกิดการได้เปรียบเพิ่มขึ้นจากการใช้อาวุธในมือดังกล่าวต่อมามีผู้คิดว่าทำอย่างไรจึงจะนำการถีบการเตะนั้นมาเป็นศิลปะการต่อสู้ไปพร้อมกับมือได้ จึงได้เกิดการฝึกหัดการต่อสู้ป้องกันตัว เพื่อแสดงตามงานเทศกาลต่าง ๆ เมื่อเป็นที่นิยมและแพร่หลายมากขึ้นก็มีการฝึกหัดและจัดตั้งเป็นสำนักฝึกมวยไทยกันมากมาย และสำนักที่ฝึกมวยไทยก็จะเป็นสำนักดาบที่มีชื่อเสียงมีอาจารย์ดี ๆ เป็นผู้ฝึกสอน ดังนั้นการฝึกมวยไทยในสมัยนั้นจึงมีจุดมุ่งหมาย 2 อย่าง คือ
     1. เพื่อสู้รบกับข้าศึก
     2. เพื่อต่อสู้ป้องกันตัว
          ในสมัยนั้นใครมีเพลงดาบดีและเก่งทางรบพุ่งก็จะต้องเก่งทางมวยไทยด้วย เพราะการรบด้วยอาวุธในมือนั้นต้องอาศัยมวยไทยเข้าช่วย ดังนั้นวิชามวยไทยในสมัยนั้นจึงมีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อที่จะฝึกตนเองเข้าไปเป็นทหารรับใช้ชาติการฝึกวิชามวยและเพลงดาบไม่ได้ฝึกเพื่อเตรียมตัวไปเป็นทหารหรือการสู้รบเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อว่างเว้นสงครามก็จะมีการประลองการต่อสู้ ทั้งกระบี่กระบองและมวยไทย เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินและอาจมีการพนันกันระหว่างนักมวยแต่ละถิ่นหรือแต่ละสำนักที่ต่อสู้กัน และมวยไทยสมัยนั้นชกกันด้วยหมัดเปล่าๆ ยังไม่มีการคาดเชือกตามประวัติศาสตร์ที่พอจะสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับมวยไทยได้นั้น ปรากฏว่ามวยไทยได้วิวัฒนาการมาตามยุคสมัยต่าง ๆ ดังนี้
สมัยอาณาจักรน่านเจ้าพ.ศ. 1291 พระเจ้าพีล่อโก๊ะ ได้รวบรวมอาณาจักรไทยขึ้น เรียกว่าอาณาจักรน่านเจ้า สมัยนี้ไทยต้องทำสงครามกับจีนอยู่เป็นเวลานาน บางครั้งก็เป็นมิตรบางครั้งก็เป็นศัตรูกัน สมัยนั้นมีการฝึกใช้อาวุธบนหลังม้า เช่น หอก ง้าว และการต้อสู้ด้วยมือเปล่าก็มีอยู่บ้าง ในระยะประชิดตัว ซึ่งมวยไทยก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นอยู่ด้วย ในสมัยล้านนาไทยก็ได้มีวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวและมีวิชาเจิ้ง(การต่อสู้ชนิดนึ่งคล้ายๆมวยจีน)

สมัยกรุงสุโขทัย
พ.ศ.1781 - 1921 ในสมัยสุโขทัยนี้ การต่อสู้มือเปล่าด้วยวิชามวยไทย ก็มีใช้อยู่ในการต่อสู้กับข้าศึกและเป็นการใช้ร่วมกับอาวุธมือถือชนิดต่างๆสถานที่ที่เป็นสำนักฝึกสอนวิชามวยไทยในสมัยนี้ ได้แก่ วัด บ้าน สำนักราชบัณฑิตที่เปิดสอนวิชาการต่อสู้ป้องกันตัวรวมอยู่ด้วย
สมัยกรุงศรีอยุธยา
           พ.ศ.1893 - 2310 สมัยนี้มีการถ่ายทอดวิชาการต่างๆมาจากสมัยสุโขทัยอย่างต่อเนื่อง เช่นการล่าสัตว์ การคล้องช้าง การฟ้อนรำ และการละเล่นต่างๆและวัดก็ยังคงเป็นสถานที่ให้ความรู้ทั้งวิชาสามัญและฝึกความชำนาญในเชิงดาบ กระบี่กระบอง กริช มวยไทย ยิงธนู เป็นต้น
พ.ศ. 2174 - 2233 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช นับว่าเจริญที่สุดมีกีฬาหลายอย่างในสมัยนี้ เช่น การแข่งเรือ การชกมวย สมัยพระเจ้าเสือ หรือขุนหลวงสรศักดิ์ พระองค์ทรงชอบกีฬาชกมวยมาก ครั้งหนึ่งพระองค์พร้อมด้วยมหาดเล็ก 4 คน แต่งกายแบบชาวบ้านนอกไปเที่ยวงานมหรสพที่ตำบลราดรวด แล้วพระองค์ก็สมัครชกมวยในงานนั้น ในนามว่า นายเดื่อ โดยไม่เกี่ยงว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร พอทางสนามรู้ว่าพระองค์เป็นนักมวยมาจากอยุธยาจึงได้จัดนักมวยฝีมือดีจากเมืองวิเศษไชยชาญที่มีอยู่ ได้แก่ นายกลางหมัดมวย นายใหญ่หมัดเหล็ก นายเล็กหมัดหนัก ชกกับพระเจ้าเสือ และพระองค์ก็ชกชนะทั้งสามคนรวดนายขนมต้ม หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตก พ.ศ. 2310 คนไทยถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยมาก ครั้นต่อมามีการจัดงานเฉลิมฉลองพระเจดีย์ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่กรุงร่างกุ้ง
พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่า ได้สั่งให้จัดมวยหน้าพระที่นั่งขึ้น เพื่อชมนักมวยไทยชกกับนักมวยพม่า
ในครั้งนั้น สุกี้ พระนายกองค่ายโพธิ์สามต้น ที่ได้กวาดต้อนนักมวยชาวไทยไว้ที่กรุงอังวะหลายคน รวมทั้งนายขนมต้ม ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์มวยไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันเมื่อพระเจ้ามังระโปรดให้จัดนักมวยพม่าเปรียบกับนักมวยไทย คนไทยในพม่าก็ได้ส่งนายขนมต้มผู้มีรูปร่างล่ำสัน บึกบึน ผิวดำ เข้าไปจับคู่กับนักมวยพม่า กรรมการนำนักมวยไทยออกมากลางลานและประกาศชื่อนายขนมต้มว่าเป็นนักมวยมีชื่อจากกรุงศรีอยุธยา เชลยไทยที่มุงดูพากันโห่ร้องเพื่อเป็นกำลังใจ
นายขนมต้มได้ใช้วิชาศิลปะมวยไทยเข้าต่อสู้สามารถเอาชนะนักมวยพม่าต่อเนื่องได้ถึง10 คน (ตามสำนวนพงศาวดาร) จนไม่มีนักมวยพม่าคนใดกล้าต่อสู้อีก สร้างความประทับใจให้กับพระเจ้ามังระยิ่งนัก ถึงกับตรัสชมเชยว่า " คนไทยถึงแม้จะไม่มีอาวุธในมือ มีเพียงมือเปล่า 2 ข้าง ก็ยังมีพิษรอบตัวหากมีเจ้านายดีที่ไหนจะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่เราได้…"พระเจ้ามังระจึงทรงมอบเงินและภรรยาให้ 2 คน เป็นรางวัล กาลเวลาต่อมานายขนมต้มก็ได้นำเอาสองศรีภรรยาเข้ามาตั้งรกรากในไทยจนถึงบั้นปลายของชีวิต นายขนมต้มจึงเป็นนักมวยเอกคนแรกของไทยที่ได้ไปประกาศฝีไม้ลายมือมวยไทยในต่างแดน และยังเปรียบเสมือนกับเป็นบิดาวิชามวยไทยมาจนเท่าทุกวันนี้อนึ่ง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มวยไทยชกกันด้วยการคาดเชือก เรียกว่า มวยคาดเชือกซึ่งใช้เชือกหรือผ้าพันมือ บากครั้งการชกอาจจะถึงตาย เพราะเชือกที่ใช้คาดมือนั้นบางครั้งใช้น้ำมันชุบเศษแก้วละเอียด ชกถูกตรงไหนเป็นได้เลือดตรงนั้น นับว่าการชกมวยคาดเชือกนั้นมีอันตรายมากตั้งแต่สมัยอยุธยาลงมา ปรากฏว่ามีกรมนักมวยที่เรียก ทนายเลือก พวกนี้มีหน้าที่แวดล้อมองค์พระมหากษัตริย์คอยป้องกันอันตรายในระยะประชิดพระองค์ โดยไม่ใช้อาวุธอื่นใดนอกจากมือเปล่า กรมนี้มีอยู่ต่อมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ กษัตริย์บางองค์ทรงเป็นนักมวยมีฝีมือ เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเจ้าเสือ พระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นต้น
สมัยกรุงธนบุรี
          พ.ศ. 2314 พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ และมาตีเมืองพิชัย พระยาพิชัย (นายทองดี ฟันขาว) ซึ่งพระเจ้ากรุงธนบุรี(พระเจ้าตากสิน) ได้โปรดให้ครองเมืองพิชัยอยู่นั้นได้นำทัพออกต่อสู้กับพม่าจนดาบหัก แต่ก็สามารถป้องกันเมืองพิชัยเอาไว้ได้ ประชาชนทั่วไปจึงเรียกว่า พระยาพิชัยดาบหัก ตั้งแต่นั้นมาเรื่องของพระยาพิชัยดาบหัก ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ก่อนกรุงแตกเป็นยุคสงครามกับพม่า มีหนุ่มชาวบ้านห้วยคาเมืองพิชัย หรืออุตรดิตถ์ ชื่อนายจ้อย หรือ ทองดี ฟันชาว เป็นผู้สนใจในวิชาเพลงมวย เที่ยวเสาะหาวิชาไปตามสำนักต่าง ๆ จนมีฝีมือพอตัว จึงเที่ยวเปรียบหาคูชกจนมีชื่อเสียงโด่งดังและได้ฝากตัวอยู่กับพระยาตาก ซึ่งต่อมาคือพระเจ้ากรุงธนบุรีหรือพระเจ้าตากสินมหาราชที่ได้ทรงแต่งตั้งนายทองดีไปครองเมืองพิชัยและมีความชอบได้เป็นถึงพระยาพิชัย ในเวลาต่อมาแม้กระทั่งในตระกูลของพระยาพิชัยดาบหัก เมื่อรับราชการมาจนถึงรัชกาลที่ 6 ก็ได้รับพระราชทาน นามสกุลว่า วิชัยขัทคะ แปลว่า ดาบวิเศษของพระยาพิชัย สมัยกรุงธนบุรี มีการเล่นกีฬามวยไทย กระบี่กระบอง แข่งเรือ ว่าว ตะกร้อ หมากรุก ชักคะเย่อ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
          พ.ศ.2325 ในระยะต้น รัชกาลที่ 1 - 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กษัตริย์ไทยที่ทรงโปรดการกีฬามาก เช่น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดกีฬามวยไทยอย่างต่อเนื่อง ในสมัยนี้ได้มีฝรั่งสองคนพี่น้องเข้ามาหาคู่ชกมวยชนิดมีเดิมพัน พระองค์ได้จัดส่งหมื่นผลาญนักมวยผู้เก่งกาจขึ้นชกกับฝรั่งสองพี่น้อง แม้หมื่นผลาญจะมีร่างกายเล็กเสียเปรียบฝรั่งมาก แต่ด้วยศิลปะมวยไทย อาวุธหมัด เท้า เข่า ศอก ฝรั่งสองพี่น้องจึงพ่ายแพ้ยับเยินกลับไป สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์หัดเล่นกระบี่กระบอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์มีความชำนาญในกีฬามวยไทยจึงจัดให้มีการแข่งขันชกมวยขึ้นในชนบทและในกรุง นอกจากนี้ได้ทรงแต่งตั้งผู้มีฝีมือในกีฬามวยให้เป็นหัวหน้าในการจัดกีฬา และให้มียศตำแหน่งด้วย เช่น พระไชยโชคชกชนะ แห่งพระนคร, หมื่นมวยมีชื่อ จากไชยา,หมื่นมวยแม่นหมัด จากลพบุรี, หมื่นชงัด เชิงชก จากโคราช

มวยไทย (Muay Thai) คือศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว (Martial Art) และเป็นกีฬา (Sport) ประจำชาติไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณมวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ร้ายกาจ รุนแรง มหัศจรรย์ แตกต่างจากศิลปะการต่อสู้ของชนชาติอื่นใด เพราะมวยไทยเป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธธรรมชาติ ใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นอาวุธได้หลากหลายชนิดมากกว่า เช่น หมัด ศอก เข่า เท้า เข้าทำอันตรายคู่ต่อสู้ โดยปราศจากการใช้อาวุธวัตถุใดๆ จากภายนอก
ศิลปะมวยไทย เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธมือเปล่า ทั้งในระยะห่างตัว ระยะใกล้ตัว และระยะประชิดตัว จนได้รับการยอมรับว่า เป็นการต่อสู้ที่ผสมผสานของศาสตร์และศิลป์ได้อย่างสวยงามและอันตรายยิ่ง
ในปัจจุบันมวยไทยได้รับการยอมรับและแพร่หลายไปทั่วโลก มวยไทยเป็นทั้งศิลปะการต่อสู้เพื่อป้องกันตนเอง (Self defense) และเป็นทั้งกีฬาสมัครเล่นและอาชีพ (Amateur and professional)

คุณลักษณะของมวยไทย
           มวยไทยใช้อวัยวะ 6 ชนิด ในการต่อสู้กับปรปักษ์ ได้แก่ หมัด ศอก แขนท่อนล่างเท้า แข้ง และเข่า  เข้ากระทำกับคู่ต่อสู้ ด้วยการเข้าชก ต่อย เขก โขกทุบ เตะ ถีบ เหน็บ อัด ยัน เหยียบ เหวี่ยง ปัก ทิ่ม เฉือน กระทุ้ง สับ เสียบเฆี่ยน กด ทุ่ม ฟาด มัด รัด หักแขน หักขา หักคอ  ฯลฯ  อวัยวะแต่ละชนิดดังกล่าวมีวิธีใช้ดังนี้
         1. หมัดใช้ทิ่มกระแทก กระทุ้ง ซึ่งมีทั้งกระทุ้งขึ้นและกระทุ้งลง  เหวี่ยง ซึ่งมีซึ่งเหวี่ยงสั้นและเหวี่ยงยาวเขก โขก และทุบ
        2. ศอกใช้เหวี่ยง ปัก งัด ทิ่ม เฉือน กด และกระทุ้ง
        3. แขนท่อนล่าง  ใช้สับ เสียบ ปัด เหวี่ยง และเฆี่ยน
        4. เท้า  ใช้ถีบ เหน็บ อัด คือการเตะด้วยปลายโต่ง ยัน เหยียบ เตะ และกระตุกเท้า
         5. แข้งใช้เหวี่ยงซึ่งมีทั้งเหวี่ยงสั้นและเหวี่ยงยาว
         6. เข่าใช้ยิงโยน ยัด เหวี่ยง กุด และกระตุก
   ไม้มวย
           เป็นการใช้อวัยวะต่างๆ ดังกล่าว ประกอบกับการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผสมกลมกลืนในการรุกและรับซึ่งก็คือการเข้ากระทำต่อคู่ต่อสู้  และการป้องกันตัว ซึ่งนับว่าเป็นศิลปะที่มีการประยุกต์ใช้ให้เกิดผลในรูปแบบต่างๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
           แม่ไม้  คือท่าครู เป็นท่าย่างสามขุมที่มีองค์ประกอบของการต่อสู้  และการป้องกันตัวอยู่พร้อมแต่ละครูแต่ละสำนักจะกำหนดท่าขึ้น  อันเป็นแบบอย่างของแต่ละคนไป
           ลูกไม้ หรือไม้มวยไทยมีทั้งไม้เด็ด ไม้ตาย และไม้เป็น
            ไม้เด็ด คือลูกไม้ที่มีประสิทธิภาพ  และมีอันตรายสูงแก่คู่ต่อสู้
           ไม้ตาย คือไม้ มวยที่เมื่อฝ่ายที่กระทำใช้ไม้นี้ออกไป ผู้ถูกกระทำจะไม่สามารถป้องกันแก้ไขได้
           ไม้เป็น  คือไม้มวยที่เมื่อฝ่ายหนึ่งใช้ออกไป  อีกฝ่ายหนึ่งสามารถป้องกันแก้ไขได้ ถ้ารู้วิธี


การไหว้ครู
           ในการแสดงศิลปวิทยาต่างๆ ย่อมมีครูบาอาจารย์เป็นผู้ประสิทธ์ประสาทวิชาการให้ เป็นประเพณีของชาวไทย  ซึ่งอบรมสั่งสอนกันมา ในเรื่องความกตัญญูรู้คุณต่อท่านผู้มีพระคุณ เมื่อรู้คุณแล้วก็จะต้องมีกตเวที  คือตอบแทนพระคุณในรูปแบบต่างๆ การไหว้ครูเป็นผลจากคุณธรรมดังกล่าวแล้ว
           ดังนั้น มวยไทยซึ่งเป็นศิลปวิทยาแขนงหนึ่ง จึงอยู่ในกรอบประเพณีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ต้องมีพิธีไหว้ครูก่อนทำการแข่งขัน  สำหรับท่าไหว้ครูมีท่าถวายบังคมเป็นท่าเริ่มแรกนั้น กล่าวกันว่า ในสมัยก่อนการชกมวยไทยมักจะจัดขึ้นหน้าพระที่นั่ง  พระมหากษัตริย์มักจะเสด็จออกทอดพระเนตร นักมวยที่จะเข้าแข่งขันเมื่อขึ้นสังเวียนแล้ว จึงต้องเริ่มด้วยการถวายบังคมด้วยลีลาท่าทางของนักมวย
           การไหว้ครูมีท่ารำอยูหลายท่า  ตามแต่ครูบาอาจารย์และเจ้าสำนักมวยต่างๆ จะประดิษฐ์คิดขึ้นมาเป็นแบบอย่าง  เช่น ท่าเบญจางคประดิษฐท่าเทพพนมพรหมสี่หน้า ท่าสาวน้อยประแป้ง ท่าหนุมานตบยุง

หลักการชกมวยไทย
การชกมวยไทยที่ดี มีหลักสำคัญ คือ มีการป้องกัน ด้วยการยืน มั่นคง เข้มแข็ง สูงเด่น การตั้งแขนป้องกัน (การการ์ดมวย) และการเก็บคาง เปรียบเสมือนป้อมปราการ เท้าหน้า จรดชี้ไปข้างหน้าวางน้ำหนักครึ่งฝ่าเท้า เท้าหลัง วางทแยงเฉียงกว้างกว่าหัวไหล่วางน้ำหนักเศษหนึ่งส่วนสี่ไว้ที่อุ้งนิ้วหัวแม่โป้ง ขยับก้าวด้วยการลากเท้าหลังตามพร้อมที่จะหลอกล่อ ขยับเข้า ออก ตั้งรับและโจมตีตอบโต้ แขนหน้ายกกำขึ้นอย่างน้อยเสมอไหล่ หรือจรดสันแก้ม แขนหลังยกกำขึ้นจรดแก้ม ศอกทั้งสองข้างไม่กางออกและไม่แนบชิด ก้มหน้าเก็บคาง ตาเขม็งมองไปตรงหว่างอกของคู่ต้อสู้ พร้อมที่จะเห็นการเคลื่อนไหวทุกส่วน เพื่อที่จะรุก รับ หรือตอบโต้ด้วยแม่ไม้ ลูกไม้และการแจกลูกต่างๆ มีการเคลื่อนไหวที่องอาจมีจังหวะ มีการล่อหลอกและขู่ขวัญที่มีการเปรียบเทียบว่า "ประดุจพญาราชสีห์ และพญาคชสีห์" อาวุธมวยที่ออกไป ต้องมีเป้าหมายและจุดประสงค์แน่นอน (แต่มักซ้อนกลลวงไว้) มีการต่อสู้ระยะไกล (วงนอก) และระยะประชิด (วงใน) และมีทีเด็ดทีขาดในการพิชิตคู่ต่อสู้

ทักษะมวยไทย

     วิธีตั้งท่าในการต่อสู้
ระยะที่ ๑ จากท่าที่ยืนตรงๆ ก้าวเท้าซ้ายออกไปข้างหน้าราวครึ่งหนึ่งของระยะก้าวธรรมดาซึ่งอยู่ในท่าสบายๆ ทุ่มน้ำหนักตัวตามเท้าซ้ายไปข้างหน้า ส่วนเท้าขวายกส้นขึ้นจากพื้นประมาณ ๒ นิ้วเพื่อเป็นสปริง เมื่อจะพุ่งออกหรือถอยหลัง
ส่วนแขนให้งอแขนขวาขึ้นมาชิดหน้าอกเหนือลิ้นปี่ใกล้ลูกคาง ทำท่าเตรียมจะพุ่งไปสู่ลูกคางคู่ต่อสู้ได้ง่าย แขนซ้ายก็งอขึ้นเพียงเสมอหน้าท้อง ให้ศอกห่างจากชายโครงประมาณ ๓ นิ้ว หมัดเฉียงเล็กน้อย
ในระยะต่อไปเมื่อมีการเคลื่อนที่ไปบ้างก็พยายามให้เท้าซ้ายคงเป็นเท้าหน้าไว้เสมอ
วิธีกำหมัด
การกำหมัด ความจริงไม่น่าจะมีความจำเป็นต้องกล่าว เพราะทุกคนมีความถนัดในการกำหมัดชกอยู่ด้วยกันแล้ว แต่ก็มักปรากฏอยู่บ่อยๆว่าการชกนั้นนิ้วหัวแม่มือซ้นหรือเดาะก็มี ซึ่งเกิดจากการกำหมัดไม่เป็น เช่น หัวแม่มือทาบอยู่บนนิ้วชี้ด้านบน หรือเอนหัวแม่มือสอดเข้าไปในช่องนิ้วอื่นซึ่งคิดว่ารัดกุมดี แต่บัดนี้ใช้นวมการยัดนิ้วดังกล่าวย่อมเป็นไปไม่ได้
การกำมือนั้น ให้กำนิ้วทั้งสี่เข้าที่แล้วให้นิ้วหัวแม่มือทาบอยู่ระหว่างร่องนิ้วชี้กับนิ้วกลาง
       วิธีสืบเท้า
    การใช้เท้าก้าวคืบไปข้างหน้าเรียกว่าการสืบเท้า การสืบเท้าเข้าหาคู่ต่อสู้ หากไม่ฝึกให้เคยชินเสียก่อน อาจจะก้าวผิดจังหวะและผิดระยะได้ง่าย ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายปฏิปักษ์ได้เปรียบ การสืบเท้าควรใช้เท้าซ้ายเป็นเท้าแรก เคลื่อนไปในระยะ ๑ คืบและสืบเท้าขวาตาม จะเป็นสืบตรงหรือเฉียงก็ตาม หากถอยก็สืบเท้าขวาก่อนเท้าซ้ายตาม การสืบเท้านี้ในการฝึกแรกๆควรหัดเป็นจังหวะช้าๆจนชำนาญทั้งทางซ้ายทางขวา และสืบพร้อมกันทั้งสองเท้าได้โดยชำนาญและรวดเร็ว การลากเท้าไปมาโดยความเบาและรวดเร็วนี้คือการสืบเท้าที่รักษาจังหวะให้ถูกต้อง

แม่ไม้มวยไทย

สลับฟันปลา 
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกัน และหลบหลีกอาวุธของคู่ต่อสู้  ในภาพ ฝ่ายขาวใช้หมัดซ้ายทิ่มเข้าหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำเบี่ยงตัวมาทางขวาด้วยการก้าวเท้าซ้ายถอยหลัง หรือสืบเท้าขวาไปข้างหน้า แล้วใช้ฝ่ามือขวาผลักแขนของฝ่ายดำออกไปทางซ้าย ถ้าฝ่ายขาวใช้หมัดขวาการป้องกันและตอบโต้ก็ท่าทำนองเดียวกัน แต่เป็นลักษณะตรงกันข้าม คือ เบี่ยงตัวมาทางซ้าย แล้วใช้ฝ่ามือซ้ายตบผลักแขนของฝ่ายดำออกไปทางขวา การยักย้ายถ่ายเทดังกล่าวของทั้งสองท่า มีอาการเคลื่อนไหวของร่างกายและแขนในลักษณะสลับฟันปลา เป็นการป้องกัน ก่อนที่จะหาโอกาสตอบโต้ในจังหวะที่เหมาะสมต่อไป



ปักษาแหวกรัง
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกันและตอบโต้ เมื่อคู่ต่อสู้เข้าปล้ำและกอดรัด ในภาพ ฝ่ายขาวเคลื่อนตัวเข้าหาฝ่ายดำและใช้แขนทั้งสองจะเข้ากอดรัด ฝ่ายดำยกแขนทั้งสองสอดเข้ากลาง ระหว่างแขนของฝ่ายขาว ใช้แขนท่อนล่างทั้งสองแขนกันไว้ ไม่ให้ฝ่ายดำโอบแขนเข้ามาได้ เป็นการป้องกัน พร้อมกันนั้นก็ใช้เข่า จะเป็นเข่าใดก็ได้ตามจังหวะการเคลื่อนไหวขณะนั้น ยัดหรือแทงเข่าเข้าไปที่ลำตัวของคู่ต่อสู้ เป็นการตอบโต้



วิรุฬหกกลับ
          เป็นไม้มวยใช้ตอบโต้เมื่อคู่ต่อสู้เหวี่ยงแข้ง
ในภาพ ฝ่ายขาวกำลังเริ่มใช้เท้าซ้ายเหวี่ยงแข้งเข้าลำตัวฝ่ายดำ ฝ่ายดำหมุนตัวกลับหลังไปทางขวาเข้าประชิดตัวฝ่ายขาว เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ใช้ศอกขวาเหวี่ยงกลับเข้าใส่หน้าฝ่ายขาว เป็นการตอบโต้


อิเหนาแทงกริช 
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกันหมัดคู่ต่อสู้ และตอบโต้ด้วยเข่า ในภาพฝ่ายขาวใช้หมัดขวาทิ่มเข้าตรงหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำใช้ฝ่ามือขวากันแขนของฝ่ายขาวออกไปทางซ้าย เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ใช้เข่าซ้าย แทงเข้าที่กลางลำตัวของฝ่ายขาวเป็นการตอบโต้



ยกเขาพระสุเมรุ 
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกันคู่ต่อสู้เหวี่ยงแข้ง และตอบโต้ด้วยการจับทุ่ม ในภาพ ฝ่ายขาวใช้ขาขวาเหวี่ยงแข้งสูงเข้าบริเวณลำคอด้านซ้ายของฝ่ายดำ ฝ่ายดำหลบลำตัวต่ำ พร้อมทั้งสืบเท้าซ้ายไปข้างหน้า แล้วใช้ฝ่ามือขวากันขาขวาฝ่ายขาวไว้ เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ใช้มือซ้ายโอบขาขวาฝ่ายขาวไว้ยกขึ้นใส่บ่า แล้วยกขาขวาฝ่ายขาวขึ้นสูงพร้อมกับดันไปข้างหน้า ทำให้ฝ่ายขาวเสียหลักล้มลงได้ เป็นการตอบโต้



ตาเถรค้ำฟัก 
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกันหมัดคู่ต่อสู้ และตอบโต้ด้วยการกระทุ้งหมัดขึ้น ในภาพ ฝ่ายขาวใช้หมัดซ้ายทิ่มเข้าตรงหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำใช้ฝ่ามือขวากันแขนขวาฝ่ายขาวไปทางซ้าย เป็นการป้องกันตัว ในขณะเดียวกันก็ใช้หมัดซ้ายกระแทกเสยเข้าบริเวณปลายคางของฝ่ายขาว เป็นการตอบโต้



มอญยันหลัก
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกันคู่ต่อสู้จู่โจม ด้วยการยกเท้ายันไว้ ในภาพ ฝ่ายขาวใช้หมัดขวาทิ่มเข้าตรงหน้าฝ่ายดำ ฝ่ายดำใช้แขนซ้ายท่อนล่างยกขึ้นกันหมัดฝ่ายขาวให้เบนออกไปทางขวา เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ใช้เท้าซ้ายถีบยันไปยังส่วนกลางของลำตัวฝ่ายขาว เป็นการตอบโต้ 


ปักลูกทอย 
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกัน การเหวี่ยงแข้งของคู่ต่อสู้ ในภาพ ฝ่ายขาวใช้แข้งซ้ายเหวี่ยงเข้าที่ลำตัวด้านซ้ายของฝ่ายดำ ฝ่ายดำใช้ศอกทั้งคู่ปักลงบนขาซ้ายของฝ่ายขาว เป็นการป้องกัน และตอบโต้พร้อมกันไปในตัว


จรเข้ฟาดหาง 
          เป็นไม้มวยใช้ตอบโต้ปรปักษ์ด้วยการเหวี่ยงแข้ง ในภาพ ฝ่ายดำหมุนตัวกลับหลังไปทางขวาด้วยขาซ้าย โน้มตัวลงต่ำ แล้วใช้ขาขวาเหวี่ยงสูงเข้าใส่บริเวณก้านคอของฝ่ายขาว เป็นการตอบโต้ฝ่ายขาว ก่อนที่จะกระทำต่อฝ่ายดำ




หักงวงไอยรา 
          เป็นไม้มวยใช้ป้องกันการเหวี่ยงแข้งของคู่ต่อสู้ด้วยการจับขากด ในภาพ ฝ่ายขาวเหวี่ยงแข้งด้วยขาขวา ฝ่ายดำใช้แขนซ้ายกัน แล้วจับขาขวาฝ่ายขาวไว้ เป็นการป้องกัน ในขณะเดียวกันก็ใช้ท่อนแขนขวาส่วนล่าง กดลงไปบริเวณเข่าของฝ่ายขาว เป็นการตอบโต้ 








































อ้างอิง
จากเว็ปไซต์
http://www.muaythaitraining.com/s0202/
http://www.thenpoor.ws/thaiboxing/viprib.html
http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=35&chap=3&page=t35-3-infodetail05.html
http://www.youtube.com/watch?v=PSXYL5lxNpc