วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

กีฬาเทควันโด

เทควันโด
ประวัติเทควันโด

   เท แปลว่า มือ 
   วัน แปลว่า เท้า
   โด แปลว่า สติปัญญา

      มีการค้นพบประวัติการฝึกฝนวิชาเทควันโดของชาวเกาหลีมานานนับ2000 ปีแล้ว ซึ่งหลังจากที่ประเทศเกาหลีได้รับการประกาศเอกราช เป็นอิสระภาพจากการปกครองของประเทศญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซอง คุก ดี แห่งสำนัก Teakyondo สาธิตศิลปะป้องกันตัว เทควันโดขึ้นต่อหน้าประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ฯพณฯ นาย Syngman Rhee ในโอกาส วันคล้ายวันเกิดของอาจารย์ ซอง คุก ดี ท่านได้แสดงให้เห็นความแตกต่างของวิชาศิลปะการต่อสู้แบบเทควันโด และคาราเต้ ของญี่ปุ่น อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งนับว่าเป้นครั้งแรกของ การจุดประกายวิชานี้ ขึ้นมาให้สาธารณชนได้รับรู้      ต่อมาก็ได้มีการเปิดโรงฝึก Gymnasium ของวิชาเทควันโดไปทั่วประเทศ ค.ศ.1950-1953 หลังสงครามเกาหลีวิชา เทควันโดได้รับความ นิยมเป้นอย่างมาก มีการผลิตและส่งผู้เชี่ยวชาญ ครูฝึกสอนวิชาเทควันโด กว่า 2000 คนไปเผยแพร่ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลกลแะมี การเสนอให้วิชาเทควันโด เป็นศิลปะป้องกันตัวประจำชาติเกาหลี ในปี ค.ศ.1971 ตามมาด้วยการก่อตั้งศูนย์เทควันโดแห่งชาติ Kukkiwon ที่กรุงโซลเพื่อเป้นศูนย์กลาง การฝึก,การแข่งขัน,การบริหาร และการเผยแพร่ วิชาเทควันโดตราบจนปัจจุบัน
       28 พฤษภาคม 1973 มีการก่อตั้งสหพันธ์เทควันโดสากล (The World Taekwondo Federation หรือ WTF) เพื่อดูแลประเทศ สมาชิกกว่า 108 ประเทศ และปีเดียวกันนี้เอง ก้ได้การเริ่มแข่งขันชิงแชมป์เทควันโดระดับโลกขึ้นและได้จัดแข่งเป็นประจำทุก 2 ปีตลอดมา
       เมื่อแรกก่อตั้งมีสมาชิกเพียง 50 ประเทศ แต่ในปัจจุบันมีถึงกว่า 150 ประเทศ ประธานสหพันธ์คนแรก และคนปัจจุบันได้แก่ นาย Un Yong Kim เป้นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบรรจุกีฬาเทควันโด ไว้ในการแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ในปี ค.ศ.1974และกีฬาโอลิมปิก ปี 2000 ที่ประเทศออสเตรเลีย




ลำดับสายของเทควันโด
  • เริ่ม สายขาว
  • 10 สายเหลือง1 (สายส้ม-ในบางยิม)
  • 9 สายเหลือง2
  • 8 สายเขียว1 (สีเขียวขี้ม้า-ในบางยิม)       
  • 7 สายเขียว2
  • 6 สายฟ้า1 (ม่วง-ในบางยิม )
  • 5 สายฟ้า2 (น้ำเงิน-ในบางยิม)
  • 4 สายน้ำตาล1
  • 3 สายน้ำตาล2
  • 2 สายแดง1
  • 1 สายแดง2
ตัวอย่างท่าแตะกีฬาเทควันโด

1. ท่าเตะด้านหน้า (Front kick)























  
  ยกเข่าข้างที่จะเตะให้สูง ย่อเข่าเล็กน้อยเพื่อการทรงตัว ดีดขาออกไปให้เร็วโดยการใช้สะโพกช่วย เหยียดเท้าให้เต็มที่ และพับขา  กลับมาในท่าเริ่มต้น
 2. ท่าเตะด้านข้าง (Sid kick)

























   ยกเข่าข้างที่จะเตะขึ้นแล้วหมุนตัว ให้สั้นเท้าชี้ไปทางเป้าหมายหันฝ่าเท้าไปทางด้านหน้า ในลักษณะสันเท้าใกล้สะโพกขาที่พับอยู่ขนานกับพื้น ออกแรงถีบให้เร็ว หันหน้าตามองผ่านไหล่ พับขากลับมาในท่าเริ่มต้น
3.ท่าเตะตวัด (Round kick)

























    ยกเข่าข้างที่จะเตะขึ้น ขาท่อนล่างเป็นจุดหมุนบิดสะโพกพร้อมส่งแรงเตะตวัดออกไป จุดปะทะอยู่ที่หลังเท้า หรือจมูกเท้า พับขากลับมาอยู่ในท่าเริ่มต้น
4.ท่าเตะเหยียบลง (Chop kick)























 ยกขาข้างที่จะเตะขึ้นแทงเข่าให้สูง พร้อมเหยียดเท้าให้สูงตบลงอย่างรวดเร็ว โดยใช้ฝ่าเท้าตบลงสู่เป้าหมาย





















อ้างอิง
http://www.thannam.net/taekwondo.php?tkd=338&taekwondoName=
https://www.gotoknow.org/posts/286472
http://www.thannam.net/taekwondo.php?tkd=105&taekwondoName=
http://warunrat.wikispaces.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94











วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ขนมไทย


ขนมไทย


ประวัติขนมไทย
         ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ
        ประเทศไทยครั้งยังเป็นสยามประเทศได้ติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย มาตั้งแต่สมัยสุโขทัยโดยส่งเสริมการขายสินค้าซึ่งกันและกัน ตลอดจนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมด้านอาหารการกินร่วมไปด้วยต่อมาในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ได้มีการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ อย่างกว้างขวางไทยได้รับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่าง ๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น วัตถุดิบที่หาได้ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนการบริโภคนิสัยแบบไทย ๆ จนทำให้คนรุ่นหลัง ๆ แยกไม่ออกว่าอะไรคือขนมที่เป็นไทยแท้ ๆ และอะไรดัดแปลงมาจากวัฒนธรรมของชาติอื่น เช่น ขนมที่ใช้ไข่และขนมที่ต้องเข้าเตาอบ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชจากคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาเชื้อชาติญี่ปุ่น สัญชาติโปรตุเกสของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ ผู้เป็นกงศุลประจำประเทศไทยในสมัยนั้น ไทยมิใช่เพียงรับทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทองมาเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญกับขนมเหล่านี้โดยใช้เป็นขนมมงคลอีกด้วย ส่วนใหญ่ตำรับขนมที่ใส่มักเป็น “ของเทศ” เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทองหยอดจากโปรตุเกส มัสกอดจากสกอตต์ ขนมไทย เป็นเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยอย่างหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดี เพราะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนประณีตในการทำ ตั้งแต่วัตถุดิบ วิธีการทำ ที่กลมกลืน พิถีพิถัน ในเรื่องรสชาติ สีสัน ความสวยงาม กลิ่นหอม รูปลักษณะชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทาน ขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุก ๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่าง ๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้น ๆ งานศิริมงคลต่าง ๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกัน ยืดยาวมีอายุยืน ขนมชั้น ก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู
ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ขนมจัดเป็นอาหารที่คู่สำรับกับข้าวไทยมาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยใช้คำว่าสำรับกับข้าวคาว-หวาน โดยทั่วไปประชาชนจะทำขนมเฉพาะในงานเลี้ยง นับตั้งแต่การทำบุญเลี้ยงพระ งานมงคลและงานพิธีการ อาหารหวานที่จัดเป็นสำรับจะต้องประกอบด้วย ของหวานอย่างน้อย 5 สิ่ง ซึ่งต้องเลือกให้มีรสชาติ สีสัน ชนิด ตลอดจนลักษณะที่กลมกลืนกัน แต่ละสำรับจะต้องมีผลไม้ 10 ที่ และขนมเป็นน้ำ 1 ที่เสมอ
ขนมไทย เป็นของหวานที่ทำและรับประทานกันในอาณาจักรไทย มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ของหวานไทยหรือขนมไทย กล่าวได้ว่ามีอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เพราะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า คนไทยเป็นคนมีลักษณนิสัย อย่างไร เนื่องด้วยขนมไทยแต่ละชนิด ล้วนมีเสน่ห์มี รสชาติ ที่แตกต่างกันออกไป แต่แฝงไปด้วยความละเมียดละไม ความวิจิตรบรรจง อยู่ในรูปลักษณ์ กลิ่น รสของขนมที่สำคัญ ขนมไทยแสดงให้เห็นว่าเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ ขนมธรรมดาๆ ทำด้วยแป้ง น้ำตาล มะพร้าว เป็นส่วนประกอบ สำคัญ สามารถดัดแปลงเป็นขนมหลายชนิด หน้าตา แตกต่างกัน
ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร ส่วนใหญ่เป็น ขนมประเพณี เป็นต้นว่า ขนมงาน เนื่องในงานแต่งงาน ขนมพื้นบ้าน เช่น ขนมครก ขนมถ้วย ฯลฯ พวกนี้มีเห็นทั่วไป ส่วนขนมในรั้วในวังจะมีหน้าตาจุ๋มจิ๋ม ประณีตวิจิตรบรรจงในการจัดวางรูปทรงขนมสวยงาม
ขนมไทย อาจแบ่งได้เป็น 4 หมวดดังนี้
  • ขนมชาววัง เช่น ขนมเบื้อง วุ้นกระทิ วุ้นสังขยา วุ้นใบเตย ขนมไข่เหี้ย ขนมลูกชุบ ขนมหม้อตาล
  • ขนมตามฤดูกาล หรือ ขนมชาวบ้าน เช่น ลูกตาลเชื่อม ฟักทองเชื่อม มันเชื่อม มะขามแช่อิ่ม ถั่วเขียวต้มน้ำตาล ข้าวตัง ขนมลืมกลืน ข้าวเม่าบด ขนมกรวย ขนมขี้หนู ขนมน้ำดอกไม้ เป็นต้น
  • ขนมในศาสนา และ ประเพณี เช่น ขนมใส่ไส้ ขนมเทียน ขนมสามงาน ขนมโพรงแสม ขนมเสน่ห์จันทร์ ขนมรังนก ลอดช่อง ข้าวเม่า ขนมถ้วยฟู ขนมปลากริมไข่เต่า ขนมบัวลอย ขนมหูช้าง ขนมคันหลาว นางเล็ด เป็นต้น
  • ขนมจากต่างประเทศ เช่น ขนมฝรั่ง ทองม้วน ขนมสัมปันนี ขนมทองเอก ขนมทองโปร่ง ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ทองหยิบ สังขยาเผือก
ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ วิธีการทำ ที่พิถีพิถัน   รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน   ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้นๆ
ขนมไทยที่นิยมทำกันทุกๆ ภาคของประเทศไทย ในพิธีการต่างๆ เนื่องในการทำบุญเลี้ยงพระ ก็คือขนมจากไข่ และมักถือเคล็ดจากชื่อและลักษณะของขนมนั้นๆ งานศิริมงคลต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส ทำบุญวันเกิด   หรือทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ส่วนใหญ่ก็จะมีการเลี้ยงพระกับแขกที่มาในงาน เพื่อเป็นศิริมงคลของงานขนมก็จะมีฝอยทอง   เพื่อหวังให้อยู่ด้วยกันยืดยาว มีอายุยืน ขนมชั้นก็ให้ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน ขนมถ้วยฟูก็ขอให้เฟื่องฟู ขนมทองเอกก็ขอให้ได้เป็นเอก เป็นต้น
ของหวานไทยหรือขนมไทย กล่าวได้ว่ามีอยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน เพราะเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า คนไทยเป็นคนมีลักษณนิสัย อย่างไร เนื่องด้วยขนมไทยแต่ละชนิด ล้วนมีเสน่ห์มี รสชาติ ที่แตกต่างกันออกไป   แต่แฝงไปด้วยความละเมียดละไม ความวิจิตรบรรจง อยู่ในรูปลักษณ์ กลิ่น รสของขนมที่สำคัญ   ขนมไทยแสดงให้เห็นว่าเป็นคนใจเย็น รักสงบ มีฝีมือเชิงศิลปะ ขนมธรรมดาๆ ทำด้วยแป้ง น้ำตาล มะพร้าว   เป็นส่วนประกอบ สำคัญ สามารถดัดแปลงเป็นขนมหลายชนิด หน้าตา แตกต่างกัน
ในสมัยโบราณคนไทยจะทำขนมเฉพาะวาระสำคัญเท่านั้น เป็นต้นว่างานทำบุญ เทศกาลสำคัญ หรือต้อนรับแขกสำคัญ เพราะขนมบางชนิดจำเป็นต้องใช้กำลังคนอาศัยเวลาในการทำพอสมควร
เมนูขนมไทย 9 มงคล
ขนมจ่ามงกุฎ



            ส่วนผสม
            1. เม็ดแตงโมแกะแล้ว 1/2 ถ้วย       2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
            3. น้ำดอกมะลิ 1 ถ้วย                    4. ทองคำเปลวแท้ 2 แผ่น
            5. แป้งสาลี 1 ถ้วย                        6. ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง
                                      
วิธีทำ
1. เชื่อมน้ำตาล โดยใช้น้ำตาลกับน้ำดอกมะลิตั้งไฟให้เดือด กรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วตั้งไฟต่ออีก 5 นาที
2. ล้างขัดกะทะทองเหลืองให้สะอาดเป็นเงา ตะแคงข้างหนึ่ง คั่วเม็ดแตงโมโดยใช้มือจุ่มลง ในน้ำเชื่อม แล้วกวาดไปมา จนน้ำตาลแห้งแล้ว ใช้มื่อจุ่มน้ำเชื่อม ทำเช่นนี้ต่อไป จนน้ำตาลเกาะเป็นหนามติดเม็ดแตงโมพองาม เก็บใส่ภาชนะอย่าให้อากาศเข้า
3. ระหว่างที่กวาดเม็ดแตงโมอยู่นั้น ต้องตะแคงกะทะและใช้ ผ้าขาวบางเช็ดกะทะให้สะอาดอยู่เสมอ
4. นวดแป้งกับไข่แดงจนนิ่มมือ ถ้ายังแห้งอยู่จึงเติมน้ำ แล้ว คลึงแป้งเป็นแผ่นบาง ๆ กดให้กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร นำแผ่นแป้งที่ตัดแล้ว ใส่ในถ้วยตะไลใช้มือ กดเบา ๆ ให้เป็นรูปก้นถ้วยตะไล ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่วจึงเอาไป อบพอสุกกลายเป็นแป้งรองขนม
5. การทำมงกุฏ ให้เอาน้ำตาลทรายใส่หม้อเล็ก ๆ ใส่น้ำนิด หน่อย ตั้งไฟอ่อน ๆ พอน้ำตาลละลายเอาเม็ดแตงโมที่ กวาดไว้แล้วลงจุ่มให้น้ำตาลติดกับแป้งที่อบไว้รอบ ๆ
6. ปั้นทองเอกกลม ๆ วางตรงกลาง ใช้มีดปลายแหลมผ่าเป็น 6 พู เหมือนผลมะยม แล้วปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ เท่าเม็ดถั่วเขียววางบนยอดขนมที่ผ่าไว้ ใช้ทองคำเปลวตัดเป็น สี่เหลี่ยมชิ้นเล็ก ๆ แตะตรงยอดมองเห็นเหมือนมงกุฎ
กลเม็ดเคล็ดลับ **
1. การทำแป้งรองขนมจ่ามงกุฏนั้นบางครั้ง ต้องเติมน้ำ และบางครั้ง ก็ไม่ต้องเติม ทั้งนี้แล้วแต่น้ำในไข่ที่ใช้
2. ทองคำเปลว ต้องแน่ใจว่าเป็นของแท้ เพราะถ้าเป็นของปลอม จะเป็นอันตรายมาก เนื่องจากสารตะกั่ว

ขนมทองหยอด




ส่วนผสม
1.ไข่แดง ไข่เป็ด 10 ฟอง
     2.แป้งเค้กอย่างดี 1/2 ถ้วยตวง
     3.ผงฟู 3/4 ช้อนชา น้ำเชื่อมข้นสำหรับต้มทองหยอด  
     4.น้ำตาลทราย 4 ถ้วยตวง
     5.น้ำดอกไม้สด 3 ถ้วยตวงน้ำเชื่อมใส สำหรับแช่ทองหยอด
     6.น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
     7.น้ำดอกไม้สด 2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. ตีไข่แดงให้ขึ้นฟูมาก ๆ จนฟองอากาศในไข่ละเอียดและสม่ำเสมอ เมื่อยกที่ตีไข่ออกจากไข่ ไข่แดงที่ตีไว้จะตามที่ดีขึ้นไป และตั้งยอดอยู่ได้
2. ร่อนผงฟูกับแป้งด้วยกัน 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย
3. แบ่งแป้งเป็น 3 ส่วนโดยประมาณ เติมแป้งลงในไข่ทีละส่วน ใช้ที่ตีไข่มือ เคล้าแป้งกับไข่ให้เข้ากัน แล้วจึงเติมแป้งส่วนที่ 2 และ 3 ตามลำดับ
4. ต้มน้ำเชื่อมใสเตรียมไว้
5. ต้มน้ำเชื่อมข้น ถ้ามีเศษผงควรกรองด้วยผ้าขาวบางเสียก่อน
6. ตักไข่ที่เตรียมไว้ใส่ลงในถุงรูปกรวยที่ใช้แต่งหน้าเค้ก ใช้หัวกลมใหญ่ พับปากถุงให้เรียบร้อย และแน่นหนาดีจึงบีบไข่ลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดพล่าน ใช้มีดปาดให้เป็นลูกตามขนาดที่ต้องการ หยอดจนเต็มหม้อน้ำเชื่อมจึงหยุดบีบ เติมน้ำลงในน้ำเชื่อม 1 ช้อนโต๊ะ    ต้มทองหยอดต่ออีก 8-9 นาทีหรือจนสุก ตักขึ้นแช่ในน้ำเชื่อมใสที่เตรียมไว้ทำจนหมดไข่
7. ใช้ทัพพีโปร่งตักขึ้นจากน้ำเชื่อมใส่ภาชนะ อบด้วยดอกมะลิหรือควันเทียนอีก 1 คัน

  
ขนมทองหยิบ



ส่วนผสม :  1. ไข่เป็ด 10 ฟอง
                  2. น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
                  3. น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง
วิธีทำ :
1. ผสมน้ำ น้ำตาลทรายให้เดือด พอเหนียวตักน้ำเชื่อมขึ้นใส่ถาดพอประมาณ ส่วนที่เหลือตั้งไฟต่อไป
2. แยกไข่แดงไข่ขาว
3. ตีไข่แดงขึ้น ไข่จะเปลี่ยนเป็นสีนวล
4. ตักไข่ที่ตีได้ที่แล้วหยอดลงในน้ำเชื่อมที่ตั้งอยู่บนไฟอ่อนให้เป็นวงกลมพอสุกกลับอีกด้านหนึ่งลง
5. ตักแผ่นทองหยิบขึ้นวางในน้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ ใช้นิ้วหัวแม่มือนิ้วชี้ของมือขวา หยิบขึ้นใส่ในถ้วยตะไล


ฝอยทอง



ส่วนผสม :
1.น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม  
2. ไข่เป็ด 15 ฟอง  
3. น้ำดอกไม้สด 6 ถ้วยตวง  
วิธีทำ :   1.ล้างไข่ให้สะอาด เช็ดให้แห้ง
2.ต่อยไข่ใส่ภาชนะ เอาแต่ไข่แดง ตีให้แตก
3.กระทะทองตั้งไฟ ผสมน้ำดอกไม้สด น้ำตาลละลาย น้ำดอกไม้สด กรองให้สะอาด เคี่ยวต่อไปจนน้ำตาลแดง
4.ตักไข่แดงใส่กรวย โรยลงในกระทะน้ำเชื่อมกะดูว่าไข่สุก  ใช้ไม้เล็กช้อนขึ้นวางในภาชนะ ทำให้เป็นจับตามต้องการ 

เม็ดขนุน

ส่วนผสม :
ถั่วเขียว 2 ถ้วยตวง  
มะพร้าว 1/2  กิโลกรัม  
น้ำตาลทราย 3  ถ้วยตวง  
วิธีทำ:
1.ถั่วเขียวแช่น้ำเพื่อให้เปลือกหลุด และถั่วขึ้นน้ำจึงนำไปนึ่ง แล้วโขลกให้ละเอียด
2.คั้นกะทิให้ข้น นวดกับถั่วให้เข้ากัน ใส่น้ำตาลนวดไปด้วย
3.นำไปตั้งไฟอ่อนๆ กวนจนแห้งและไม่ติดกระทะ จึงยกลง
4.เมื่อเย็นแล้วปั้นเป็นรูปเม็ดขนุน พักไว้ให้ผิวเม็ดขนุนแห้ง

เสน่ห์ จันทร์


ส่วนผสม :
1. แป้งสาลี               5          ช้อนโต๊ะ
2. ลูกจันทน์ป่น         1/2       ช้อนชา
3. กะทิข้น           1/2    ถ้วย
4. น้ำตาลทราย          4    ช้อนโต๊ะ
5. สีผสมอาหาร         สีเหลือง  สีน้ำตาล
วิธีทำ :
    1. ผสมน้ำตาลกับหัวกะทิ  ตั้งไฟเคี่ยวจนเป็นยางมะตูม
    2. ยกลงมากวนข้างล่างจนน้ำตาลข้น  ร่อนแป้งสาลีลงกวนผสมใส่
        ลูกจันทร์ป่นกวนต่อจนเข้ากัน
    3. ใส่สีเหลืองลงผสม  หรือจะใช้น้ำหญ้าฝรั่นคนให้เข้ากันพอเป็นสี
        เหลืองนวล
    4. ปั้นแป้งทั้งยังร้อน    ให้เป็นรูปกลม    ขนาดพอเหมาะ  แล้ว
        แต่งหน้าให้สวยด้วยสีน้ำตาล

ขนมทองเอก


ส่วนผสม :
1.ไข่ไก่ 6 ฟอง
2. ผงอัลมอนด์ 1/2 ถ้วยตวง
3.น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
4. กะทิ 1 ถ้วยตวง
5. ทองคำเปลว 2 แผ่น
วิธีทำ : 1. คั่วผงอัลมอลด์ให้กรอบ บดให้ละเอียดเป็นผงแป้ง แล้วร่อน
                 หลายๆครั้ง
            2. ใส่ไข่แดง น้ำตาลทราย ลงในกะทิ คนให้เข้ากัน จนน้ำตาลทรายละลาย
            3. ร่อนผงอัลมอลด์ลงในส่วนผสมข้อ 2 ทีละน้อย ตะล่อนให้เข้ากัน
            4. นำไปตั้งไฟอ่อนๆ กวนจนปั้นได้ ใส่พิมพ์ทิ้งไว้ให้เย็น เคาะออก
                 ติดทองคำเปลว นำไปอบวันเทียน

ขนมชั้น



ส่วนผสม :
1.         แป้งข้าวเจ้าชนิดผงอย่างดี 2 ถ้วยตวง  
2.         แป้งมันหรือแป้งท้าวยายม่อม 2 ถ้วยตวง  
3.         น้ำตาลทราย 6 ถ้วยตวง  
4.         น้ำลอยดอกมะลิ 8 ถ้วยตวง  
5.         กะทิ 6 ถ้วยตวง  
6.         น้ำใบเตย          
7.         สีชมพู (สีผสมอาหาร)          
วิธีทำ  :
1.ต้มน้ำตาลกับน้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วยตวง พอเดือดและน้ำตาลละลาย แล้วกรอง ทิ้งไว้ให้เย็น
2.ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน กับกะทิน้ำเชื่อม คนให้เข้ากัน
3.แบ่งแป้งออกเป็นสีขาว 2 ส่วน สีชมพู และสีใบเตย 1 ส่วน
4.นำถาดใส่บนลังถึง ตั้งบนไฟแรงๆ พอน้ำเดือดเปิดฝา ตักแป้งสีขาว เทใส่ให้บางๆ ปิดฝานึ่ง นึ่งจนสุก จะมีลักษณะใส
5.เปิดฝาลังถึง ตักแป้งสีชมพูใส่ลงอีก ทำสลับกันจนหมดแป้ง
6.สีเขียวใบเตยก็ทำเช่นเดียวกับสีชมพู พอสุกทิ้งไว้ให้เย็น ตัดเป็นรูปตามชอบ

ขนมถ้วยฟู


ส่วนผสม :
1.         แป้งข้าวเจ้า  1    ถ้วย
2.         น้ำตาลทราย   1/2    ถ้วย
3.         ยีสต์   1   ช้อนชา
4.         ผงฟู     1   ช้อนชา
5.         น้ำลอยดอกมะลิ  1/2    ถ้วย
6.         ถ้วยตะไล
วิธีทำ :
1.         นวดแป้งกับน้ำลอยดอกมะลิ โดยใส่น้ำลอยดอกมะลิทีละน้อย นวดพอแป้งรวมตัวกันเป็นก้อน ใส่ยีสต์ นวดให้เข้ากัน แล้วค่อย ๆ ใส่น้ำตาลนวดจนน้ำตาลละลาย ใส่น้ำลอยดอกมะลิที่เหลือ กรองใส่ชาม ปิดฝาทิ้งไว้ ประมาณ   45 นาที แป้งจะขึ้นฟอง
2.         ใส่น้ำลงในก้นลังถึง 3/4 ตั้งไฟจนเดือด นึ่งถ้วยตะไลให้ร้อนจัดเตรียมไว้ใส่ผงฟูลงในแป้ง (ส่วนผสมข้อ 1) คนให้ทั่ว รีบตักส่วนผสมที่ได้หยอดทันที ปิดฝา นึ่งไฟแรง ประมาณ 20 นาที ยกลง ทิ้งให้เย็น แกะออกจากพิมพ์ อบด้วยดอกมะลิอีกครั้ง 















อ้างอิง
http://youyouol.wordpress.com/
http://kohkret.wordpress.com/
https://www.google.co.th/search?